ขนส่งสินค้ากับมืออาชีพ เพื่อยกระดับมาตรฐานธุรกิจของคุณ

              ในยุคที่การแข่งขันทางธุรกิจเติบโตขึ้นอย่างต่อเนื่อง การเลือกผู้ให้บริการด้านการขนส่งที่มีประสิทธิภาพถือเป็นปัจจัยสำคัญที่ช่วยเพิ่มความได้เปรียบด้านคุณภาพการบริการให้ธุรกิจคุณ ในบทความนี้จะนำเสนอแนวทางการเลือกบริการส่งพัสดุและส่งสินค้าที่จะช่วยยกระดับมาตรฐานการขนส่งให้ธุรกิจคุณ

ส่งพัสดุด่วน ส่งสินค้าด่วน ส่งพัสดุ ส่งสินค้า

ปัจจัยสำคัญในการเลือกบริการส่งพัสดุด่วนที่มีมาตรฐาน

ความเป็นมืออาชีพของพนักงานขนส่ง

การส่งสินค้าด่วนที่มีประสิทธิภาพต้องอาศัยทีมงานที่มีความเชี่ยวชาญ คนขับควรได้รับการฝึกอบรมอย่างมืออาชีพ และตรวจประวัติ เพื่อรับประกันว่าสินค้าจะถูกจัดส่งอย่างระมัดระวังและส่งถึงมือผู้รับได้อย่างปลอดภัย

ความรวดเร็วในการจัดส่ง

บริการส่งพัสดุด่วนที่มีคุณภาพ ควรมีระบบการจัดการที่มีประสิทธิภาพ สามารถส่งมอบสินค้าได้ตรงตามเวลาที่กำหนด โดยเฉพาะในพื้นที่กรุงเทพมหานครและปริมณฑล

ราคาที่คุ้มค่ากับคุณภาพ

การส่งสินค้าควรมีราคาที่สมเหตุสมผลและคุ้มค่ากับคุณภาพการบริการที่ได้รับ โดยไม่ส่งผลกระทบต่อต้นทุนการดำเนินธุรกิจของคุณ

ความสะดวกในการใช้บริการ

ระบบการสั่งงานควรมีความง่ายและสะดวก ไม่ว่าจะเป็นการสั่งงานผ่านแอปพลิเคชัน เว็ปไซต์ หรือการสั่งงานที่รองรับการใช้งานในรูปแบบองค์กร

การติดตามสถานะสินค้า

บริการส่งพัสดุที่ดีควรมีระบบติดตามสถานะสินค้าแบบเรียลไทม์ช่วยให้คุณและลูกค้าของคุณสามารถตรวจสอบสถานะการจัดส่งให้สามารถติดตามคนขับและสินค้าได้ตลอดเวลา

ส่งพัสดุด่วน ส่งสินค้าด่วน ส่งพัสดุ ส่งสินค้า

ประโยชน์ของการเลือกบริการส่งสินค้าที่มีคุณภาพ

  1. เพิ่มความพึงพอใจของลูกค้า การส่งมอบสินค้าที่รวดเร็ว และปลอดภัยจะช่วยสร้างความประทับใจและความเชื่อมั่นให้กับลูกค้าของคุณ
  2. ลดต้นทุนการดำเนินงาน บริการขนส่งที่มีประสิทธิภาพจะช่วยลดความสูญเสียจากความเสียหายของสินค้าและการจัดส่งล่าช้า หรือลดปัญหาอื่นๆ เช่น สินค้าตกหล่นให้น้อยลงได้
  3. เพิ่มโอกาสที่เหนือกว่าระหว่างคุณกับคู่แข่ง หากคุณเลือกผู้ให้บริการด้านการขนส่งที่เชื่อถือได้จะช่วยให้ธุรกิจของคุณสามารถขยายตลาดและรองรับความต้องการของลูกค้าได้มากขึ้น
  4. สร้างภาพลักษณ์ที่ดีให้กับธุรกิจ บริการจัดส่งที่มีคุณภาพจะส่งผลดีต่อชื่อเสียงและภาพลักษณ์ของธุรกิจคุณในสายตาของลูกค้า และอาจเกิดการบอกต่อในวงกว้างได้มากขึ้น

วิธีเลือกบริษัทขนส่งให้เหมาะกับธุรกิจของคุณ

วิเคราะห์ความต้องการขนส่งของธุรกิจ

ประเมินปริมาณการส่งสินค้า ประเภทสินค้า และพื้นที่จัดส่งหลักของคุณ เช่น พื้นที่กทม. ปริมณฑล หรือจังหวัดอื่นๆ เพื่อเลือกผู้ให้บริการที่มีความเชี่ยวชาญตรงกับความต้องการ

เปรียบเทียบบริการและราคา

รวบรวมข้อมูลจากผู้ให้บริการหลายราย เปรียบเทียบทั้งด้านคุณภาพการบริการและอัตราค่าบริการ โดยคำนึงถึงความคุ้มค่าในระยะยาว

ตรวจสอบความน่าเชื่อถือ

ศึกษาประวัติและชื่อเสียงของบริษัทขนส่ง อ่านรีวิวจากลูกค้าเก่า และสอบถามข้อมูลจากธุรกิจในเครือข่ายของคุณ

ประเมินเทคโนโลยีและระบบการจัดการ

เลือกผู้ให้บริการที่มีระบบการจัดการที่ทันสมัย มีแอปพลิเคชัน และเว็บไซต์ที่ใช้งานง่าย และมีระบบติดตามสถานะสินค้าที่มีประสิทธิภาพสามารถติดตามได้แบบเรียลไทม์

สอบถามการใช้บริการขนส่ง

เลือกบริษัทที่สามารถปรับเปลี่ยนบริการให้เข้ากับความต้องการเฉพาะของธุรกิจคุณได้

ทดลองใช้บริการ

หากเป็นไปได้ ทดลองใช้บริการในปริมาณเล็กน้อยก่อน เช่น ลองใช้ 1 – 2 ครั้ง เพื่อประเมินคุณภาพการบริการจริง

ตรวจสอบนโยบายการรับประกัน

เลือกผู้ให้บริการที่มีนโยบายการรับประกันและการชดเชยที่ชัดเจนและเป็นธรรม

ประเมินการบริการของฝ่ายบริการลูกค้า

เลือกบริษัทที่มีทีมบริการลูกค้าที่มีประสิทธิภาพ พร้อมให้ความช่วยเหลือเมื่อเกิดปัญหา

              การเลือกบริการส่งพัสดุและส่งสินค้าที่มีคุณภาพ โดยพิจารณาจากปัจจัยต่างๆ อย่างรอบคอบทั้งเรื่องความต้องการ และงบประมาณราคาที่สอดคล้องกับคุณภาพการให้บริการ คุณจะสามารถยกระดับมาตรฐานการให้บริการของธุรกิจคุณและเพิ่มข้อได้เปรียบทางการแข่งขันได้ในระยะยาว

              หากคุณกำลังมองหาผู้ให้บริการด้านการขนส่งมืออาชีพที่เชื่อถือได้ สกู๊ตตาร์ ขนส่งด่วนออนไลน์มือโปร ยินดีให้คำปรึกษาและนำเสนอบริการส่งพัสดุด่วนที่ตอบโจทย์ความต้องการของธุรกิจคุณ 

สามารถทดลองใช้งาน SKOOTAR ขนส่งด่วนออนไลน์มือโปร ได้ที่
https://www.skootar.com/th/signup หรือใช้งานผ่านแอปพลิเคชัน ได้ทั้งระบบ iOS และ Android

บทความที่เกี่ยวข้องกับบริการส่งพัสดุด่วน ของสกู๊ตตาร์ 

SKOOTAR – บริการ “ส่งพัสดุ” และ “ส่งสินค้า” มืออาชีพเพื่อตอบโจทย์ธุรกิจ

เชื่อมต่อ API ขนส่งกับสกู๊ตตาร์ ทำให้คุณสะดวกขึ้นได้อย่างไร

*สกู๊ตตาร์ให้บริการเฉพาะพื้นที่กทม. และปริมณฑล
*ภาพในบทความใช้เพื่อประกอบการโฆษณาเท่านั้น
*เงื่อนไขเป็นไปตามที่บริษัทฯ กำหนด

e-Tax Invoice เรื่องต้องรู้ธุรกิจในยุคดิจิทัล

  • e-Tax Invoice หรือใบกำกับภาษีอิเล็กทรอนิกส์ เป็นการออกใบกำกับภาษีในรูปแบบของอิเล็กทรอนิกส์ผ่านทางระบบออนไลน์แบบ 100% ซึ่งจะช่วยให้เจ้าของธุรกิจกิจการร้านค้าต่างๆ ลดขั้นตอนจัดเตรียม จัดส่งใบกำกับภาษีแบบกระดาษให้กับลูกค้าแถมยังสามารถส่งข้อมูลใบกำกับภาษีอิเล็กทรอนิกส์ถึงกรมสรรพากรช่องทางอีเมล หรือเว็บไซต์กรมสรรพากรได้อย่างรวดเร็วอีกด้วย

  • e-Tax Invoice แบ่งออกได้เป็น e-Tax Invoice & Receipt และ e-Tax Invoice by Email ซึ่งจะตอบโจทย์ลักษณะกิจการที่แตกต่างกัน ดังนั้นผู้ประกอบการที่อยากเริ่มต้นใช้งาน e-Tax Invoice ก็ควรศึกษารายละเอียดต่างๆ ให้ครบถ้วน

ปัจจุบันโลกถูกเชื่อมต่อกันด้วยอินเทอร์เน็ต จึงทำให้การติดต่อสื่อสารเป็นไปอย่างไร้พรมแดน รวมไปถึงการติดต่อซื้อ – ขาย และการทำธุรกรรมต่างๆ ซึ่งเกิดขึ้นในระบบออนไลน์เป็นจำนวนมาก ซึ่งภาครัฐก็ได้มองเห็นการเปลี่ยนแปลงดังกล่าว จึงเกิดแนวคิดในการพยายามปรับเปลี่ยนรูปแบบของการดำเนินการยื่นเอกสาร ทำธุรกรรม หรือจัดเก็บหลักฐานต่างๆ ในแบบใหม่ ที่เรียกว่า e-Service ซึ่งเป็นการดำเนินการผ่านช่องทางออนไลน์มากขึ้น เพื่อให้เกิดความสะดวกต่อผู้ประกอบการ ลูกค้า ตลอดจนหน่วยงานต่างๆ ที่เกี่ยวข้อง

ซึ่งในปัจจุบันกรมสรรพากรกำลังทำหน้าที่พัฒนาระบบขั้นตอนการบริการยื่นเอกสาร และรวมไปถึงการออกใบกำกับภาษีในรูปแบบอิเล็กทรอนิกส์ ซึ่งเป็นต้นกำเนิดของใบกำกับอิเล็กทรอนิกส์ (e-Tax Invoice) และใบเสร็จรับเงินอิเล็กทรอนิกส์ (e-Receipts) ที่จัดทำขึ้นเพื่ออำนวยความสะดวก และลดภาระต้นทุนในส่วนของการนำส่ง การจัดเก็บใบกำกับภาษีแบบกระดาษ ให้เจ้าของธุรกิจได้อีกด้วย แต่การจะออกใบกำกับภาษี หรือใบเสร็จรับเงินแบบอิเล็กทรอนิกส์ เหมือนเป็นการปรับเปลี่ยนระบบใหม่ทั้งหมดนั้น จะต้องใช้การป้องกัน การดูแลข้อมูลที่ปลอดภัย เชื่อถือได้ เพื่อให้สอดคล้องกับกฎหมายธุรกรรมทางอิเล็กทรอนิกส์

e-Tax Invoice คืออะไร

e-Tax Invoice หรือใบกำกับภาษีอิเล็กทรอนิกส์ เป็นการออกใบกำกับภาษีในรูปแบบของอิเล็กทรอนิกส์ผ่านทางระบบออนไลน์แบบ 100% ซึ่งจะช่วยให้เจ้าของธุรกิจ กิจการร้านค้าต่างๆ ลดขั้นตอนจัดเตรียม จัดส่งใบกำกับภาษีแบบกระดาษให้กับลูกค้าแถมยังสามารถส่งข้อมูลใบกำกับภาษีอิเล็กทรอนิกส์ถึง กรมสรรพากรช่องทางอีเมล หรือเว็บไซต์กรมสรรพากรได้อย่างรวดเร็วอีกด้วย

e-Tax Invoice กับ 4 ประโยชน์ที่ควรรู้

สำหรับผู้ประกอบการที่กำลังศึกษาและอยากรู้ว่าการปรับเปลี่ยนจากจัดทำใบกำกับภาษีในรูปแบบกระดาษมาเป็นการใช้งาน e-Tax Invoice จะมีข้อดีอย่างไร ในหัวข้อนี้มีคำตอบ

  1. ป้องกันข้อมูลสูญหาย หรือได้รับความเสียหายจากเหตุการณ์ที่คาดไม่ถึง เนื่องจากการจัดเก็บใบกำกับภาษีในรูปแบบกระดาษมีความเสี่ยงจากการจัดเก็บที่ไม่เป็นระบบ ทำให้ยากต่อการค้นหา หรือในกรณีที่เกิดเหตุสุดวิสัยจากภัยธรรมชาติต่างๆ เอกสารก็อาจได้รับความสูญหายได้ ซึ่ง e-Tax Invoice จะช่วยเข้ามาแก้ไขปัญหาดังกล่าว
  2. ลดต้นทุนแฝง ในการจัดทำใบกำกับภาษีในรูปแบบกระดาษ มีต้นทุนในการดำเนินการทั้งสิ้น ไม่ว่าจะเป็นค่ากระดาษ ค่าหมึกพิมพ์ ซึ่งการปรับเปลี่ยนมาใช้งาน e-Tax Invoice จะช่วยลดค่าใช้จ่ายเหล่านี้ลงไปได้
  3. สามารถตรวจสอบความถูกต้อง โปร่งใส ของใบกำกับภาษีได้อย่างสะดวก รวดเร็วเนื่องจากใบกำกับภาษีอิเล็กทรอนิกส์จะถูกเก็บในระบบเซิร์ฟเวอร์ของผู้ให้บริการระบบใบกำกับภาษีอิเล็กทรอนิกส์ (Service Provider) โดยอัตโนมัติ สามารถเข้ามาตรวจสอบย้อนหลังได้ตามต้องการ
  1. รองรับสิทธิประโยชน์จากทางภาครัฐ จะเห็นได้ว่าหลายๆ มาตรการของรัฐบาลที่ประกาศออกมา ส่งเสริมให้กิจการหรือร้านค้าที่สามารถออกใบกำกับภาษีอิเล็กทรอนิกส์ได้ จะได้รับสิทธิประโยชน์เพิ่มขึ้น เช่น มาตรการช้อปดีมีคืน 2566 มาตรการลดหย่อนภาษีประจำปี มูลค่า 30,000 บาท สำหรับผู้เสียภาษีเงินได้บุคคลธรรมดา และลดหย่อนเพิ่มได้อีก 10,000 บาท เมื่อใช้ใบกำกับภาษีหรือใบรับอิเล็กทรอนิกส์ (e-Tax Invoice & e-Receipt) และล่าสุดปี 2567 กับโครงการ Easy E-Receipt โดยประชาชนที่ใช้บริการหรือซื้อสินค้าจากผู้ประกอบร้านค้าที่ออกใบกำกับภาษีอิเล็กทรอนิกส์ (e-Tax invoice) จะสามารถนำไปลดหย่อนภาษีได้ในมูลค่าไม่เกิน 50,000 บาท ซึ่งช่วยเพิ่มยอดขายให้กับผู้ประกอบการได้

e-Tax Invoice จะต้องมีรายละเอียดสำคัญอะไรบ้าง?

  1. เป็นไฟล์อิเล็กทรอนิกส์ประเภท

– .pdf (Portable Document Format)

– .doc, .docx (Microsoft Word Document)

– .xls, .xlsx (Microsoft Excel)

  1. ภายใน 1 ไฟล์ต้องมีขนาดไม่เกิน 3 MB
  2. ข้อมูลรายละเอียดที่อยู่ในไฟล์เอกสารจะต้องไม่ใช่รูปภาพ ต้องไม่มีการถ่ายภาพหรือการแปลงไฟล์จากเอกสารกระดาษมาเป็นข้อมูลอิเล็กทรอนิกส์เด็ดขาด
  3. ต้องมีการลงลายเซ็นดิจิทัล (Digital Signature) หรือประทับรับรองเวลา (Time Stamp) ผ่านระบบ e-Tax Invoice by Email เพื่อให้เอกสารนี้ถูกต้องตามกฎหมาย และสามารถใช้เป็นหลักฐานสำคัญในทางกฎหมายได้อีกด้วย

e-Tax Invoice มีทั้งหมดกี่รูปแบบ…ใช้แตกต่างกันอย่างไร?

e-Tax Invoice หรือใบกำกับภาษีอิเล็กทรอนิกส์ มีทั้งหมด 2 รูปแบบ ดังนี้

e-Tax Invoice & Receipt

e-Tax Invoice & Receipt  เป็นรูปแบบใบกำกับภาษีอิเล็กทรอนิกส์ที่เหมาะสำหรับเจ้าของธุรกิจ หรือกิจการที่จดทะเบียนภาษีมูลค่าเพิ่ม (Vat 7%) ในรูปแบบไม่จำกัดรายได้ ซึ่งจะจัดทำใบกำกับภาษีอิเล็กทรอนิกส์สำหรับการนำส่งข้อมูลให้กรมสรรพากรในรูปแบบของไฟล์ .xml เท่านั้น

ถ้าหากจำเป็นต้องใช้ในรูปแบบอื่น หรือไฟล์นามสกุลอื่น ให้มีการลงลายมือชื่อดิจิทัล (Digital Signature) เพื่อส่งมอบให้ลูกค้าผู้ซื้อสินค้า หรือบริการทุกครั้งที่มีการซื้อ – ขายเกิดขึ้น

คุณสมบัติของผู้ประกอบการที่ขอจัดทำ e-Tax Invoice & e-Receipt 

มีดังต่อไปนี้

  1. เป็นบุคคลธรรมดาหรือนิติบุคคลที่จดทะเบียนภาษีมูลค่าเพิ่ม
  2. มีใบรับรองอิเล็กทรอนิกส์ (Electronic Certificate) ที่อยู่ภายใต้การรับรองของผู้ให้บริการออกใบรับรองอิเล็กทรอนิกส์แห่งชาติ (NRCA) และสำนักงานพัฒนาธุรกรรมอิเล็กทรอนิกส์ (ETDA)
  3. มีระบบการควบคุมภายในที่ดี สามารถพิสูจน์ได้ว่าใบกำกับภาษีอิเล็กทรอนิกส์ที่จัดทำและนำส่งให้แก่ผู้รับมีความถูกต้องครบถ้วนโดยใช้วิธีการที่เชื่อถือได้
  4. ต้องไม่เป็นผู้ประกอบการจดทะเบียนที่ได้รับอนุมัติหรืออยู่ระหว่างการพิจารณาอนุมัติโครงการใบกำกับภาษีอิเล็กทรอนิกส์ (e-Tax Invoice by Time Stamp)

ขั้นตอนการทำงานของระบบ e-Tax Invoice & e-Receipt

  1. จัดทำข้อมูลอิเล็กทรอนิกส์ตามรูปแบบที่กำหนดในรูปแบบ XML หรือรูปแบบอื่นที่ลงลายมือชื่อดิจิทัล
  2. ส่งมอบให้ผู้ซื้อสินค้าหรือผู้รับบริการ
  3. นำส่งข้อมูลให้กรมสรรพากร ด้วยวิธีต่างๆ 3 วิธี ดังต่อไปนี้

3.1 Web upload เป็นการส่งข้อมูลให้กับสรรพากร โดยการอัปโหลดเอกสารในรูปแบบ XML ให้แก่กรมสรรพากรผ่านทางเว็บไซต์ etax.rd.go.th

3.2 Service provider เป็นการเลือกใช้บริการส่งข้อมูลอิเล็กทรอนิกส์กับผู้ให้บริการส่งข้อมูลที่กรมสรรพากรรับรอง

3.3 Host to host สำหรับผู้ประกอบการที่ต้องการส่งข้อมูลจำนวนมาก (ไม่น้อยกว่า 500,000 ฉบับ/เดือน) และอยู่ในการกำกับดูแลของกองบริหารภาษีธุรกิจขนาดใหญ่

e-Tax Invoice by Time Stamp

e-Tax Invoice by Time Stamp หรือ e-Tax Invoice by Email นั้นเป็นรูปแบบใบกำกับภาษีอิเล็กทรอนิกส์ที่เหมาะสำหรับเจ้าของธุรกิจ หรือกิจการ ขนาดเล็กที่มีรายได้ไม่เกิน 30 ล้านบาท/ปี และจดทะเบียนภาษีมูลค่าเพิ่ม (Vat) ซึ่งรูปแบบนี้จะต้องจัดทำเฉพาะใบกำกับภาษีอิเล็กทรอนิกส์ที่เป็นไฟล์ PDF/A-3 เท่านั้น เจ้าของธุรกิจหรือกิจการจะต้องส่งอีเมลให้ลูกค้า และจัดทำสำเนา (CC) ไปที่ csemail@etax.teda.th เพื่อให้ระบบประทับรับรองเวลา (Time Stamp) จากนั้นระบบ e-Tax Invoice by Time Stamp จะส่งอีเมลที่มีประทับรับรองเวลาไปยังอีเมลของลูกค้า และเจ้าของธุรกิจ หรือกิจการเพื่อจัดเก็บเป็นหลักฐาน และนำส่งข้อมูลให้กรมสรรพากรแบบอัตโนมัติ ไม่ต้องเสียเวลาไปยื่นด้วยตัวเอง

คุณสมบัติของผู้ประกอบการที่ขอจัดทำ e-Tax Invoice by Time Stamp

ผู้ประกอบการที่ต้องการขอจัดทำ e-Tax Invoice by Time Stamp จะต้องมีคุณสมบัติดังต่อไปนี้

  1. เป็นบุคคลธรรมดาหรือนิติบุคคลที่จดทะเบียนภาษีมูลค่าเพิ่ม
  2. กิจการมีรายได้ไม่ควรเกิน 30 ล้านบาทต่อปี (แม้รายได้จะเกินเกณฑ์ แต่ถ้ามีการออกใบกำกับภาษีต่อเดือนจำนวนไม่มากก็สามารถสมัครได้ครับ)
  3. ต้องไม่เป็นผู้ประกอบการจดทะเบียนที่ได้รับอนุมัติหรืออยู่ระหว่างการพิจารณาอนุมัติโครงการใบกำกับภาษีและใบรับอิเล็กทรอนิกส์ (e-Tax Invoice & e-Receipt)
  4. ไม่มีพฤติการณ์หลีกเลี่ยงการเสียภาษี ไม่มีประวัติการออกและใช้ใบกำกับภาษีปลอมหรือใบกำกับภาษีที่ออกโดยมิชอบด้วยกฎหมาย

e-Tax Invoice by Time Stamp ทำงานอย่างไร

  1. ผู้ออกใบกำกับภาษี (ผู้ขายหรือผู้ให้บริการ) สร้างใบกำกับภาษีอิเล็กทรอนิกส์ ในรูปแบบ PDF/A-3
  2. ผู้ออกใบกำกับภาษีใช้อีเมลที่ลงทะเบียนไว้กับกรมสรรพากรส่งใบกำกับภาษีให้กับผู้ซื้อทางอีเมล (ระบุได้ 1 อีเมลเท่านั้น) และสำเนาอีเมล (E-mail CC) ไปยังระบบกลางของสพธอ.(ETDA) หรืออีเมล csemail@etax.teda.th เพื่อประทับรับรองเวลา โดยอีเมล 1 ฉบับ แนบไฟล์เพียง 1 ไฟล์เท่านั้น
  3. ใบกำกับภาษีที่ส่งไปยังสพธอ. (ETDA) จะได้รับการประทับรับรองเวลา จากนั้นระบบจะทำการจัดส่งใบกำกับภาษีอิเล็กทรอนิกส์ที่มีการประทับรับรองเวลาไปยังผู้ออกใบกำกับภาษีและผู้ซื้อหรือผู้รับบริการ ซึ่งถือว่าเป็นใบกำกับภาษีที่ถูกต้อง

               จากบทความข้างต้นจะเห็นได้ e-Tax Invoice ช่วยให้เจ้าของธุรกิจ กิจการร้านค้าต่างๆ ลดขั้นตอนจัดเตรียม จัดส่งใบกำกับภาษีแบบกระดาษให้กับลูกค้าแถมยังสามารถส่งข้อมูลใบกำกับภาษีอิเล็กทรอนิกส์ถึงกรมสรรพากรได้อย่างรวดเร็วอีกด้วย เพราะฉะนั้น ผู้ประกอบการยุคใหม่จึงไม่ควรรอช้า เข้าร่วมใช้งาน e-Tax Invoice เพื่อสร้างโอกาสทางธุรกิจด้วยการทำงานแบบมืออาชีพ 

 

PEAK โปรแกรมบัญชียังสามารถออกเอกสารด้านภาษี รองรับการจัดทำและส่ง e-Tax Invoice ได้อย่างสะดวกรวดเร็วในทุกขั้นตอน 

ทดลองใช้งานโปรแกรมบัญชี PEAK ฟรี! 30 วัน มูลค่า 1,200 บาท

คลิก https://bit.ly/PEAK-Skootar (ไม่มีค่าใช้จ่าย)

.

PEAK Call Center : 1485

LINE : @peakaccount

สอบถามเพิ่มเติม คลิก https://m.me/peakengine

ฟีเจอร์ใหม่ ให้ทิปคนขับหลังจบงาน

ให้ทิปทันที หลังงานเสร็จ

  1. เมื่องานเสร็จสิ้น และกดให้คะแนนคนขับ (ให้ทิปได้เฉพาะคนขับ 4-5 ดาว)
  2. เลือก/ระบุจำนวนทิปสูงสุด 1,000 บาท
  3. นำ QR code ไปสแกนโอนผ่านธนาคาร
  4. แนบสลิป เพื่อเป็นหลักฐานการโอนโดยสามารถแก้ไขแนบสลิปใหม่ได้ หรือสามารถให้ทิปคนขับได้อีกครั้ง โดยคลิกที่ปุ่ม ให้ทิป

ให้ทิป ย้อนหลัง

  1. คลิกเข้าไปที่หน้า งานที่สั่ง และเลือกงานที่ต้องการ
  2. กด “ให้ทิป”
  3. ให้คะแนนคนขับ (ให้ทิปได้เฉพาะคนขับ 4-5 ดาว)
  4. เลือก/ระบุจำนวนทิปสูงสุด 1,000 บาท
  5. นำ QR code ไปสแกนโอนผ่านธนาคาร
  6. แนบสลิป เพื่อเป็นหลักฐานการโอนโดยสามารถแก้ไขแนบสลิปใหม่ได้ หรือสามารถให้ทิปคนขับได้อีกครั้ง โดยคลิกที่ปุ่ม ให้ทิป

บริษัทขนส่งสินค้า ส่งพัสดุ ส่งของแบบมืออาชีพ

ส่งพัสดุ ส่งสินค้า

SKOOTAR บริษัทขนส่งสินค้า ส่งพัสดุ แบบมืออาชีพ ในกทม. และปริมณฑล

สำหรับธุรกิจที่มีความต้องการขนส่งสินค้าและส่งพัสดุอย่างสม่ำเสมอ การเลือกใช้บริการจากบริษัทขนส่งสินค้าที่มีคุณภาพและตรงตามความต้องการของธุรกิจเป็นสิ่งสำคัญ เพราะจะช่วยลดต้นทุนการขนส่ง เพิ่มประสิทธิภาพการทำงาน สร้างความประทับใจให้กับลูกค้า

บริษัทขนส่งสินค้า ส่งพัสดุ

ส่งสินค้า ส่งพัสดุ ส่งด่วนอย่างมืออาชีพด้วยบริษัทขนส่งด่วนออนไลน์มือโปร

SKOOTAR ขนส่งด่วนออนไลน์มือโปร เป็นหนึ่งในบริษัทขนส่งสินค้าชั้นนำในกรุงเทพมหานครและปริมณฑล ที่มอบบริการแบบครบวงจร ด้วยจุดเด่นหลายประการ ดังนี้

  1. คนขับผ่านการอบรม และตรวจสอบประวัติอาชญากรรม* สุภาพ มีมารยาท
  2. ตอบโจทย์การขนส่งในรูปแบบธุรกิจ สามารถสั่งงานซ้ำจากเส้นทางเดิมคำสั่งเดิมได้
  3. มีทีมบริการลูกค้าคอยให้บริการช่วยเหลือทุกวันไม่มีวันหยุด
  4. เปิดบัญชีธุรกิจสามารถวางบิลได้ และออกใบเสร็จรับเงินได้
  5. สามารถกำหนดสิทธิ์ในการเห็นข้อมูลของผู้ใช้งานแต่ละท่านในองค์กรได้
  6. มีประกันความเสียหาย*จากการขนส่ง
  7. มีรีพอร์ทการสั่งงาน สามารถดาวน์โหลดได้
  8. มีระบบรวมใบแจ้งหนี้หลายใบให้เหลือเพียง 1 ใบได้
  9. มีประเภทรถให้เลือกใช้งานหลากหลาย เช่น รถมอเตอร์ไซค์ รถยนต์ รถกระบะ รถกระบะตู้ทึบ
  10. สามารถวางแผนสั่งงานล่วงหน้า หรือเรียกใช้ทันทีได้
  11. เข้ารับสินค้าถึงมือ ส่งถึงปลายทางได้ใน 2 ชั่วโมง* ด้วยรถมอเตอร์ไซค์ในพื้นที่กรุงเทพ และปริมณฑล
  12. มีบริการเสริมการส่งเอกสารด่วนด้วยแมสเซ็นเจอร์มือโปร เก็บเช็ค วางบิล
  13. ราคามีมาตรฐาน สามารถเช็คราคาก่อนใช้งานได้
  14. มีประสบการณ์ขนส่งมามากกว่า 6.9 ล้านครั้ง กว่า 20,000 บริษัทที่เคยใช้งานเรา
  15. เป็นบริษัทขนส่งของคนไทยสัญชาติไทยที่เน้นการให้บริการที่มีคุณภาพ
  16. สามารถใช้งานได้สะดวกง่ายๆ ผ่านเว็บไซต์หรือแอพพลิเคชัน โดยสั่งงานได้ 24 ชม.ทุกวัน ไม่มีวันหยุด
  17. มีบริการขนส่งกระจายสินค้าจากคลังสินค้า
  18. เชื่อมต่อ API เพื่อสั่งงานจากหลังบ้านได้
  19. มีระบบ GPS ติดตามสถานะการจัดส่งของคนขับ แชร์สถานะให้ผู้รับได้
  20. พัฒนาระบบ และมาตรฐานผู้ขับอย่างต่อเนื่อง เพื่อตอบสนองธุรกิจ

ด้วยจุดเด่นที่โดดเด่นเหล่านี้ SKOOTAR จึงเป็นทางเลือกที่น่าสนใจสำหรับธุรกิจที่ต้องการบริการขนส่งสินค้าและส่งพัสดุที่มีคุณภาพ ครบวงจร ตอบโจทย์ความต้องการได้อย่างครบถ้วน

ข้อควรพิจารณาในการเลือกบริษัทขนส่งสินค้า

นอกจากจะพิจารณาจุดเด่นของบริการแล้ว ยังมีปัจจัยอื่นๆ ที่ควรคำนึงถึงในการเลือกบริษัทขนส่งสินค้า ได้แก่

  • ความครอบคลุมของพื้นที่การให้บริการ
  • ช่องทางการติดต่อและระบบสั่งงานที่สะดวก
  • ความน่าเชื่อถือและประสบการณ์ของบริษัท
  • ความปลอดภัยของสินค้าระหว่างการขนส่ง
  • ระยะเวลาการจัดส่งและความตรงต่อเวลา

คุณสามารถทดลองใช้งาน SKOOTAR ขนส่งด่วนออนไลน์มือโปรได้ที่ https://www.skootar.com/th/signup

บทความที่เกี่ยวข้องกับการส่งสินค้า ส่งพัสดุ

https://www.skootar.com/parcel-service/express-delivery

หมายเหตุโปรดศึกษาข้อมูลก่อนใช้งาน*

  • ปัจจุบันสกู๊ตตาร์ให้บริการขนส่งในพื้นที่กทม. และปริมณฑลเท่านั้น*
  • เงื่อนไขเป็นไปตามที่บริษัทกำหนด โปรดศึกษาข้อมูลรายละเอียดก่อนใช้งาน*

แมสเซ็นเจอร์ส่งเอกสารรายเดือนสกู๊ตตาร์ ดียังไง

หากองค์กรของคุณต้องส่งเอกสารด่วนอยู่เป็นประจำ เช่น เอกสารสัญญาระหว่างคุณกับพาร์ทเนอร์ หรือการเก็บเช็ค วางบิล ระหว่างคุณและลูกค้า รวมถึงเอกสารธุรกรรมต่างๆ ที่ต้องไปทำที่ธนาคารเป็นประจำ การเรียกใช้แมสเซ็นเจอร์ส่งเอกสารแบบรายเดือนอาจเป็นทางออกที่ดีกว่าการเรียกใช้แบบรายครั้ง และนี่คือเหตุผลหลักที่ทำไมคุณควรเลือกใช้บริการแมสเซ็นเจอร์ส่งเอกสารรายเดือน สกู๊ตตาร์

เหตุผลที่ต้องส่งเอกสารกับ
แมสเซ็นเจอร์รายเดือน SKOOTAR

เหตุผลที่ต้องส่งเอกสารกับ
แมสเซ็นเจอร์รายเดือน SKOOTAR

ราคาที่คุ้มค่าในระยะยาว

สำหรับธุรกิจหรือบุคคลที่ต้องส่งเอกสารเป็นประจำ การใช้บริการแมสเซ็นเจอร์รายเดือนจะช่วยประหยัดค่าใช้จ่ายได้มากกว่าการจ้างส่งแบบรายครั้ง เพราะจ่ายค่าบริการที่ชัดเจน สามารถใช้ได้ทั้งเดือน ที่สำคัญเมื่อคุณทราบค่าใช้จ่ายที่แน่นอนไว้ล่วงหน้ายังช่วยให้คุณควบคุมและคาดการณ์งบประมาณได้ง่ายกว่า

ประหยัดเวลา เมื่อเรียกใช้งาน

แมสเซ็นเจอร์รายเดือน คือการที่คุณมีแมสเซ็นเจอร์ประจำที่คุ้นเคยกับรายละเอียดการทำงานของคุณ ทำให้ไม่ต้องเสียเวลาอธิบายงานใหม่ทุกครั้ง เหมือนกับการเรียกใช้บริการรายครั้ง

ส่งเอกสาร

ปลอดภัย เป็นมืออาชีพ ไว้ใจได้

นอกจากความสะดวก รวดเร็วทันใจ และประหยัดเวลาของบริการแล้ว สกู๊ตตาร์มีการตรวจสอบประวัติ* และอบรมการทำงานให้กับแมสเซ็นเจอร์ของเราก่อนออกทำงานจริง เพื่อคุณภาพการบริการและความปลอดภัยที่หน้างานให้กับลูกค้า คุณจึงมั่นใจได้ว่าเอกสารสำคัญของคุณจะถูกจัดส่งอย่างถูกต้อง ปลอดภัย และทันเวลา เป็นมืออาชีพ ช่วยให้ธุรกิจของคุณดำเนินไปได้อย่างราบรื่น

ติดตามง่าย สั่งงานสะดวก

สำหรับการใช้บริการแบบรายเดือน สามารถเรียกใช้บริการได้ทันทีผ่านแอปฯ โดยไม่ต้องกรอกข้อมูลหรือชำระเงินใหม่ทุกครั้ง หรือหากมีการสั่งงานซ้ำในรายละเอียดเดิม ก็ไม่จำเป็นต้องกรอกรายละเอียดซ้ำ ช่วยให้การส่งเอกสารเป็นเรื่องง่ายและรวดเร็ว รวมทั้งมี Real-time Tracking ที่สามารถติดตามได้ผ่าน GPS ว่าแมสเซ็นเจอร์เดินทางถึงไหนแล้ว พร้อมแชร์สถานะให้ผู้รับเอกสารที่ปลายทางได้

แมสเซ็นเจอร์รายเดือนส่งเอกสาร

สนใจสมัครใช้งาน
แมสเซ็นเจอร์รายเดือนสกู๊ตตาร์
ติดต่อได้ที่นี่

7 ข้อดี เลือกใช้แมสเซ็นเจอร์รายเดือนสกู๊ตตาร์

  1. ลดค่าใช้จ่ายในการจ้างพนักงานประจำ
  2. มีประกัน*
  3. มีแมสฯ ทดแทนให้ หากขาดงาน
  4. มีรีพอร์ตการใช้งาน สามารถดาวน์โหลดได้
  5. สามารถติดตามแมสฯ ผ่านระบบ GPS ได้เรียลไทม์
  6. มีทีม Customer service คอยช่วยเหลือทุกวัน
  7. สมัครเป็นลูกค้าธุรกิจ วางบิลได้*

แมสเซ็นเจอร์รายเดือนสกู๊ตตาร์ ส่งเอกสารประเภทไหนได้บ้าง

แมสเซ็นเจอร์รายเดือนสกู๊ตตาร์
มีทั้งหมด 2 แพ็คเกจ

แมสเซ็นเจอร์รายเดือนสกู๊ตตาร์ มีทั้งหมด 2 แพ็กเกจ

แมสเซ็นเจอร์รายเดือนส่งเอกสาร

ราคารวมค่าน้ำมัน ค่าสึกหรอ สวัสดิการ และประกันอุบัติเหตุของคนขับแล้ว* ค่าล่วงเวลาในวันทำการปกติ คิดเพิ่ม 1.5 เท่า/ชม. ทำงานวันหยุด คิดเพิ่ม 2 เท่า/ชม. ล่วงเวลาในวันหยุด คิดเพิ่ม 3 เท่า/ชม.

ราคารวมค่าน้ำมัน ค่าสึกหรอ สวัสดิการ และประกันอุบัติเหตุของคนขับแล้ว*
ค่าล่วงเวลาในวันทำการปกติ คิดเพิ่ม 1.5 เท่า/ชม. ทำงานวันหยุด คิดเพิ่ม 2 เท่า/ชม. ล่วงเวลาในวันหยุด คิดเพิ่ม 3 เท่า/ชม.

บริการแมสเซ็นเจอร์รายเดือนจึงเป็นตัวเลือกที่ตอบโจทย์สำหรับลูกค้าที่ต้องส่งเอกสารหรือพัสดุเป็นประจำ ไม่ว่าจะเป็นในระดับบุคคลหรือองค์กร เพราะช่วยประหยัดเวลาและค่าใช้จ่าย พร้อมอำนวยความสะดวกในการทำงานด้านเอกสารสัญญา เก็บเช็ค วางบิล หรือเอกสารอื่นๆ ทั่วไปได้เป็นอย่างดี

บทความที่เกี่ยวข้อง

 

*เงื่อนไขเป็นไปตามที่บริษัทฯ กำหนด
*สกู๊ตตาร์ให้บริการเฉพาะพื้นที่กทม. และปริมณฑลเท่านั้น

บริการส่งเอกสารด่วนกทม. และปริมณฑล โดยแมสเซ็นเจอร์มืออาชีพ

ส่งเอกสารด่วน ส่งเอกสารด่วนกทม. บริการส่งเอกสาร

บริการส่งเอกสารด่วนด้วย SKOOTAR แมสเซ็นเจอร์

ในโลกของธุรกิจยุคใหม่ที่ต้องแข่งขันกับเวลา การส่งเอกสารด่วนถือเป็นสิ่งจำเป็นอย่างยิ่งสำหรับทุกองค์กร SKOOTAR ผู้ให้บริการส่งเอกสารด่วนในเขตกรุงเทพฯและปริมณฑล พร้อมตอบโจทย์ความต้องการด้วยบริการแมสเซ็นเจอร์คุณภาพ รวดเร็ว ปลอดภัย ในราคาที่คุ้มค่า เหมาะสำหรับทั้งเจ้าของธุรกิจ ผู้บริหาร และพนักงานในแผนกต่างๆ ที่ต้องการส่งเอกสารสำคัญอย่างเร่งด่วน

จุดเด่นของบริการแมสเซ็นเจอร์ส่งเอกสารโดย SKOOTAR มีดังนี้

  1. แมสเซ็นเจอร์ผ่านการคัดเลือกและอบรมเป็นอย่างดี รวมถึงตรวจสอบประวัติอาชญากรรม*
  2. ติดตามสถานะการจัดส่งแบบเรียลไทม์ผ่านระบบ GPS แชร์สถานะให้ผู้รับทราบได้
  3. ใช้งานง่ายผ่านเว็บไซต์และแอปพลิเคชัน ได้ทุกวัน ไม่มีวันหยุด
  4. มีประกันความเสียหาย* ช่วยให้คุณอุ่นใจมากยิ่งขึ้น
  5. มีระบบบันทึกข้อมูลการใช้งาน สามารถดาวน์โหลดรายงานได้
  6. มีบริการเสริมวางบิล เก็บเช็ค ติดต่อหน่วยงานราชการ
  7. เลือกจ้างแมสเซ็นเจอร์ได้ทั้งแบบรายครั้ง รายเดือน หรือเหมาจ่ายเป็นชั่วโมง
  8. มีสิทธิประโยชน์ ยิ่งใช้ยิ่งคุ้ม
  9. มีฟีเจอร์รวมใบแจ้งหนี้หลายใบให้เหลือเพียง1ใบ ลดภาระงานเอกสาร
  10. กำหนดสิทธิ์การเข้าถึงข้อมูลในระบบของผู้ใช้งานแต่ละคนได้
  11. มีทีม CS พร้อมให้บริการตลอดทุกวัน ไม่มีวันหยุด

สรุปบริการแมสเซ็นเจอร์ส่งเอกสารด่วนจาก SKOOTAR

ด้วยจุดเด่นมากมาย บริการแมสเซ็นเจอร์ส่งเอกสารด่วนจาก SKOOTAR จึงเหมาะสำหรับธุรกิจยุคใหม่ที่ต้องการความรวดเร็ว แม่นยำ ในการส่งเอกสารสำคัญ สนใจสมัครทดลองใช้งานหรือเปิดบัญชีธุรกิจวันนี้ รับสิทธิพิเศษสำหรับทดลองใช้งานติดต่อเราเพื่อขอข้อมูลเพิ่มเติมหรือใช้บริการได้แล้ววันนี้

ลงทะเบียนรับสิทธิพิเศษเพื่อให้ฝ่ายขายติดต่อกลับได้ที่นี่

บทความที่เกี่ยวข้อง
https://www.skootar.com/messenger-service

 

เทียบกันชัดๆ ส่งสินค้าออนดีมานด์ vs ส่งแบบทั่วไป เลือกแบบไหนดีที่โดนใจลูกค้า

              ในยุคที่การแข่งขันทางธุรกิจสูง การเลือกวิธีการจัดส่งสินค้าที่ตอบโจทย์ความต้องการของลูกค้าจึงเป็นสิ่งสำคัญ วันนี้เราจะมาแนะนำข้อดี-ข้อเสีย และข้อได้เปรียบที่แตกต่างกันของการส่งสินค้าแบบออนดีมานด์ (On-demand Delivery) และการส่งสินค้าแบบทั่วไป

การส่งสินค้าด่วนแบบออนดีมานด์

              บริการขนส่งสินค้าด่วน ที่มักมาพร้อมแพลตฟอร์มออนไลน์หรือแอปพลิเคชัน ที่สามารถเรียกรถขนส่งให้มาช่วยรับส่งสินค้าได้ผ่านระบบออนไลน์แบบง่ายๆ ด้วยจุดเด่นด้านความสะดวก ความยืดหยุ่น และการรับ-ส่งที่รวดเร็วทันใจ ติดตามได้ มีมาตรฐานในเรื่องของโครงสร้างราคาที่ชัดเจน เช็กราคาได้เองผ่านระบบออนไลน์ได้ง่ายๆ

              ในขณะที่การส่งสินค้าแบบทั่วไปเป็นบริการแบบดั้งเดิม ที่มีการนัดหมายวันเวลารับ-ส่งสินค้า แต่มักมีข้อดีในเรื่องของราคาที่ถูกกว่า และความครอบคลุมพื้นที่ให้บริการที่กว้างกว่า รวมถึงมีความยืดหยุ่นในการเจรจาต่อรองกันหน้างานมากกว่าการส่งสินค้าด่วนแบบออนดีมานด์ ที่ต้องยึดถือข้อมูลการตกลงผ่านข้อมูลการสั่งงานผ่านระบบเป็นหลัก เพราะแท้จริงแล้วแพลตฟอร์มแบบออนดีมานด์เดลิเวอรี มีหน้าที่หลักเป็นตัวกลางในการเชื่อมโยงและบริหารระบบรวมถึงบริหารการจัดส่งให้เรียบร้อยด้วยดีทั้งฝ่ายลูกค้าที่ต้องการสั่งงานขนส่ง และฝ่ายพนักงานขับรถร่วมส่งของ จึงจำเป็นต้องยึดถือข้อมูลตามระบบเป็นสำคัญ เพื่อไม่ให้เกิดข้อผิดพลาดทั้งในด้านการสื่อสาร และระหว่างการขนส่ง

ข้อดีของบริการส่งสินค้าด่วนแบบออนดีมานด์

ได้แก่ ความรวดเร็ว ความสะดวก ความยืดหยุ่น และการติดตามสถานะแบบเรียลไทม์ เหมาะกับสินค้าเร่งด่วน แต่มีข้อเสียคือค่าบริการสูงกว่า และพื้นที่ให้บริการอาจยังไม่ครอบคลุมทุกพื้นที่ 

ส่วนข้อดีของการส่งแบบทั่วไป คือ ราคาถูกกว่า พื้นที่ครอบคลุมกว้าง และเหมาะกับสินค้าทั่วไป แต่ข้อเสียคือใช้เวลานานกว่า ไม่ค่อยสะดวก ไม่ค่อยยืดหยุ่น และติดตามสถานะสินค้าได้ยาก อาจเกิดการสูญหาย หรือเสียหายได้ง่าย

ส่งสินค้าด่วนแบบออนดีมานด์ หรือ ส่งแบบทั่วไป เลือกแบบไหนดีที่โดนใจลูกค้า

สำหรับการเลือกบริการขนส่งสินค้าให้โดนใจลูกค้ามากที่สุด ควรพิจารณาจาก 4 ปัจจัยหลักเหล่านี้

  1. ประเภทงาน และลักษณะของสินค้าที่ทำการขนส่ง
    • สินค้าเร่งด่วน เน่าเสียง่าย เช่น อาหาร และของสด ควรเลือกแบบออนดีมานด์เพื่อความรวดเร็ว และคงคุณภาพของสินค้า งานเร่งด่วนมากๆ ต้องการให้ขนส่งเสร็จถึงมือผู้รับใน 2-3 ชม.
    • สินค้าทั่วไป ไม่เน่าเสีย ส่งช้าได้ เน้นราคาประหยัด เลือกแบบทั่วไปก็สามารถส่งถึงได้เช่นกัน

  2. พฤติกรรมและไลฟ์สไตล์ของกลุ่มเป้าหมาย
    • กลุ่มคนรุ่นใหม่ที่เน้นความสะดวก ถนัดใช้เทคโนโลยี ชอบความรวดเร็ว การขนส่งแบบออนดีมานด์จึงจะตอบโจทย์
    • กลุ่มลูกค้าที่ไม่ได้รีบใช้สินค้านั้นๆ เน้นความคุ้มค่า การส่งแบบปกติทั่วไปก็เหมาะสม

  3. พื้นที่การจัดส่ง
    • ถ้าส่งในกทม. และปริมณฑล การส่งสินค้าด่วนแบบออนดีมานด์จะครอบคลุมและส่งได้ไวตามเวลาที่ต้องการเพราะไม่ต้องนำสินค้าเดินทางไปพักที่คลังสินค้าก่อนกระจายสินค้าไปตามจุดส่งต่างๆ
    • ในพื้นที่ต่างจังหวัด พื้นที่ห่างไกล ต้องเลือกผู้ให้บริการที่มีเครือข่ายกว้าง ซึ่งมักเป็นการขนส่งแบบทั่วไป จะมีราคาที่คุ้มค่ากว่า

  4. งบประมาณด้านต้นทุนการขนส่ง
    • ถ้าขายสินค้ามูลค่าสูง ลูกค้ายินดีจ่ายค่าส่งในราคาที่สูงกว่า เลือกส่งแบบออนดีมานด์จะช่วยเพิ่มความพึงพอใจได้ด้วยความรวดเร็ว และมีบริการที่สุภาพ ควบคุมคุณภาพได้ง่ายขึ้น
    • แต่ถ้าสินค้าราคาไม่แพง และราคาส่งมีผลต่อราคาขาย การส่งแบบทั่วไปจะช่วยประหยัดค่าขนส่งได้ดีกว่า

การส่งสินค้าแบบออนดีมานด์จึงเหมาะสำหรับธุรกิจที่เน้นขายสินค้าเร่งด่วน สินค้ามูลค่าสูง การรีบส่งของ ส่งสินค้าระหว่างสาขา ออเดอร์โดยส่วนมากจะจัดส่งอยู่ในเมือง กรุงเทพ-ปริมณฑล และมีงบประมาณด้านการขนส่ง เช่น ธุรกิจอาหารและเครื่องดื่ม, ธุรกิจดอกไม้ ของขวัญ และสินค้าเทศกาล, ธุรกิจเภสัชภัณฑ์และอุปกรณ์การแพทย์, ธุรกิจแฟชั่นและความงาม เครื่องสำอางค์ อุปกรณ์ตกแต่งบ้าน, อุปกรณ์อิเล็กทรอนิกส์แบบB2B, ธุรกิจด้านงานเอกสารสำคัญ และ ธุรกิจอีคอมเมิร์ซ

              ส่วนการส่งแบบทั่วไป เหมาะกับธุรกิจที่มีสินค้าหลากหลาย กลุ่มลูกค้าต้องการประหยัดต้นทุนค่าขนส่งมากๆ ดังนั้น การเลือกรูปแบบการขนส่งที่เหมาะสม โดยคำนึงถึงความต้องการของลูกค้าเป็นหลัก จะช่วยสร้างความประทับใจ และรักษาฐานลูกค้าไว้ได้ในระยะยาว

              และในปัจจุบัน สกู๊ตตาร์ ให้บริการส่งสินค้าด่วน ส่งเอกสาร และส่งอาหารด้วยคนขับมืออาชีพที่ผ่านการตรวจประวัติ* และอบรมแล้ว หากสนใจสามารถสมัครใช้บริการ และทดลองใช้งานได้ที่ https://www.skootar.com/th/signup  

บทความที่เกี่ยวข้อง

 

*เงื่อนไขเป็นไปตามที่บริษัทฯ กำหนด

จดทะเบียนบริษัทมีขั้นตอนสำคัญอย่างไรบ้าง

จดทะเบียนบริษัทมีขั้นตอนสำคัญอย่างไรบ้าง

จดทะเบียนบริษัทมีขั้นตอนสำคัญอย่างไรบ้าง
  • การจดทะเบียนบริษัทเป็นเป้าหมายสำคัญประการหนึ่งของธุรกิจ นอกจากจะเป็นแสดงตัวตนของธุรกิจอย่างเป็นทางการแล้ว การจดทะเบียนธุรกิจยังเป็นการเพิ่มความน่าเชื่อถือในระยะยาวอีกด้วย

  • ก่อนที่จะเริ่มต้นบริษัท ผู้ประกอบการควรมีความเข้าใจอย่างชัดเจนว่าการจดทะเบียนบริษัทนั้นมีอยู่ด้วยกันกี่ประเภท แต่ละประเภทมีความแตกต่างกันอย่างไร และขั้นตอนการจดทะเบียนบริษัทนั้นมีอะไรบ้าง

จดทะเบียนบริษัทมีกี่ประเภท? อะไรบ้าง

หากต้องการเริ่มต้นจดทะเบียนบริษัท อันดับแรกต้องทำความรู้จักกับประเภทของการจดทะเบียนกันก่อน โดยการจดทะเบียนบริษัทนั้นแบ่งออกเป็นประเภทต่างๆ ได้ดังนี้

1. การจดทะเบียนพาณิชย์ (สำหรับบุคคลธรรมดา)

การจดทะเบียนพาณิชย์ประเภทนี้เหมาะกับธุรกิจขนาดเล็กที่มีเจ้าของทำงานเพียงคนเดียว ขายสินค้าหรือบริการง่ายๆ ไม่ยุ่งยาก เช่น บุคคลธรรมดาที่ค้าขายออนไลน์ ระบบร้านค้าออนไลน์ผ่านแพลตฟอร์มต่างๆ บุคคลธรรมดาที่มีอาชีพค้าขาย และมีหน้าร้านเป็นของตัวเอง เป็นต้น ข้อดีของการจดทะเบียนในลักษณะนี้ คือ ผู้ประกอบการจะไม่มีภาระในการทำบัญชีหรือยื่นส่งงบการเงิน และมีอิสระในการดำเนินธุรกิจอย่างเต็มที่ อย่างไรก็ตาม ธุรกิจอาจขาดความน่าเชื่อถือในระยะยาว เข้าถึงสินเชื่อจากธนาคารได้ยาก รวมไปถึงยังทำให้เจ้าของธุรกิจต้องมีภาระหน้าที่ทางกฎหมายในการรับภาระหนี้สินของธุรกิจแบบไม่จำกัดอีกด้วย

2. การจดทะเบียนบริษัท (สำหรับนิติบุคคล)

เหมาะสำหรับธุรกิจที่มีเจ้าของ ผู้ลงทุนตั้งแต่ 3 คนขึ้นไป โดยการจดทะเบียนบริษัทจะทำให้มี “บริษัท” มีสถานะเป็น “นิติบุคคล” ที่มีตัวตนตามกฎหมาย แยกจากเจ้าของธุรกิจ เจ้าของบริษัทจึงเป็นอิสระจากหนี้สินของบริษัท (เจ้าของธุรกิจมีภาระการชำระค่าหุ้นให้ครบตามทุนที่จดทะเบียนบริษัทไว้เท่านั้น) อย่างไรก็ตาม บริษัทจะมีภาระหน้าที่แยกจากเจ้าของ โดยบริษัทต้องจัดทำบัญชี เสียภาษี ยื่นประกันสังคมให้พนักงาน เป็นต้น 

แม้การมีภาระหน้าที่ดังกล่าว จะทำให้ผู้ประกอบการรู้สึกยุ่งยากอยู่บ้าง แต่จะมีข้อดีคือ อัตราภาษีเงินได้ของนิติบุคคลจะไม่เกิน 20% ของรายได้หักค่าใช้จ่าย (ซึ่งน้อยกว่าอัตราภาษีของบุคคลธรรมดาที่สูงสุดที่ 35%) ซึ่งการจดทะเบียนนิติบุคคลสามารถทำได้ 3 แบบ ดังนี้

ห้างหุ้นส่วนสามัญ

การทำกิจการแบบห้างหุ้นส่วนจำกัดสามัญนั้น ใช้กับผู้ถือหุ้นตั้งแต่ 2 คนขึ้นไป โดยหุ้นส่วนทุกคนมีสิทธิ์จัดการกับกิจการ และแบ่งปันกำไรจากกิจการได้ แต่ก็ต้องร่วมกันรับผิดชอบหนี้สินของกิจการอย่างไม่จำกัด ในกรณีที่ห้างหุ้นส่วนสามัญไม่ได้จดทะเบีย จะมีสภาพเป็นบุคคลธรรมดา แต่หากมีการจดทะเบียน จะมีสภาพเป็นนิติบุคคลที่เรียกว่า “ห้างหุ้นส่วนสามัญนิติบุคคล” โดยหุ้นส่วนทุกคนจะต้องเป็นผู้รับผิดชอบหนี้สินของกิจการแบบ “ไม่จำกัดจำนวน” แต่อาจตกลงให้หุ้นส่วนคนใดคนหนึ่งเป็นผู้จัดการห้างหุ้นส่วนได้  

ห้างหุ้นส่วนจำกัด

ต้องมีผู้ถือหุ้นตั้งแต่ 2 คนขึ้นไป และต้องทำการจดทะเบียนนิติบุคคล โดยความรับผิดชอบของ     หุ้นส่วน จะแบ่งเป็นแบบ “จำกัด” และแบบ “ไม่จำกัด” ความรับผิดในหนี้สินของกิจการ ซึ่งมีความแตกต่างกันดังนี้  

– หุ้นส่วนผู้รับผิดชอบในหนี้สินแบบ “จำกัด” จะรับผิดในหนี้สินกิจการไม่เกินจำนวนเงินลงทุนของตน หุ้นส่วนประเภทนี้จะไม่มีสิทธิ์ตัดสินใจในกิจการ แต่มีสิทธิ์ที่จะสอบถามการดำเนินงานของกิจการได้

– หุ้นส่วนผู้รับผิดชอบในหนี้สินแบบ “ไม่จำกัด” จะรับผิดในหนี้สินทั้งหมดที่เกิดขึ้นจากกิจการ และจะมีสิทธิ์ตัดสินใจต่างๆ ในกิจการได้อย่างเต็มที่ 

บริษัทจำกัด

มีผู้ถือหุ้นตั้งแต่ 3 คนขึ้นไป และต้องจดทะเบียนนิติบุคคล โดยผู้ถือหุ้นทุกคนจะรับผิดชอบในหนี้สินกิจการแบบ “จำกัด” กล่าวคือ ผู้ถือหุ้นมีภาระเพียงแค่จะต้องชำระเงินทุนตามค่าหุ้นที่ได้จดทะเบียนไว้เท่านั้น หากชำระครบแล้ว ผู้ถือหุ้นไม่ต้องรับผิดชอบในหนี้สินที่เกิดขึ้นในกิจการอีกด้วย ทั้งนี้การจดทะเบียนเป็นบริษัทนั้นส่งผลดีทั้งต่อความน่าเชื่อถือ การสร้างระบบการบริหาร การมีระบบบัญชี และเอื้อต่อการระดมทุน รวมทั้งขอสินเชื่อจากธนาคารมากกว่าการจดทะเบียนแบบอื่น

จดทะเบียนบริษัทมีกี่ประเภท

จดทะเบียนบริษัทมีขั้นตอนอย่างไร

ในการจดทะเบียนบริษัทนั้นมีขั้นตอนในการดำเนินการที่สำคัญดังต่อไปนี้

1. ตรวจและจองชื่อบริษัท

ในการตรวจและจองชื่อบริษัทที่จะทำการจดทะเบียนนั้น กรมพัฒนาธุรกิจการค้าได้เปิดบริการให้สามารถเข้าไปตรวจชื่อและจองชื่อบริษัทผ่านทางเว็บไซต์ได้ โดยเราสามารถจองชื่อได้ถึง 3 ชื่อ แต่มีเงื่อนไขว่าชื่อที่จองนั้นจะต้องไม่ซ้ำหรือใกล้เคียงกับบริษัทที่เคยจดทะเบียนไปแล้ว

2. จดทะเบียนหนังสือบริคณห์สนธิ

หลังจากวันที่นายทะเบียนรับรองชื่อบริษัท บริษัทต้องจัดเตรียมหนังสือบริคณห์สนธิเพื่อไปจดทะเบียนกับกรมพัฒนาธุรกิจการค้า ภายใน 30 วัน โดยหนังสือบริคณห์สนธินั้นจะต้องประกอบด้วยข้อมูลสำคัญต่างๆ ดังต่อไปนี้  

  • ชื่อบริษัทตามที่ได้จองชื่อไว้
  • ที่ตั้งสํานักงานใหญ่/สาขา
  • วัตถุประสงค์บริษัท
  • ทุนจดทะเบียน
  • ชื่อ ที่อยู่ อายุ สัญชาติ ของพยาน 2 คน
  • ข้อบังคับ (ถ้ามี)
  • จํานวนทุน (ค่าหุ้น) ที่เรียกชําระแล้วอย่างน้อย 25% ของทุนจดทะเบียน
  • ชื่อ ที่อยู่ อายุของกรรมการ
  • รายชื่อหรือจํานวนกรรมการที่มีอํานาจลงชื่อแทนบริษัท 
  • ชื่อ เลขทะเบียนผู้สอบบัญชีรับอนุญาตพร้อมค่าตอบแทน
  • ชื่อ ที่อยู่ สัญชาติ และจํานวนหุ้นของผู้ถือหุ้นแต่ละคน

3. ยื่นคำขอจดทะเบียนบริษัท

หลังจากจองชื่อและจดทะเบียนหนังสือบริคณห์สนธิแล้ว นายทะเบียนที่กรมพัฒนาธุรกิจการค้าจะดำเนินการตรวจสอบเอกสาร หลังจากนั้น ให้เราเตรียมไปจดทะเบียนบริษัทได้ที่กรมพัฒนาธุรกิจการค้า โดยเตรียมเอกสาร ดังนี้

  • แบบจองชื่อนิติบุคคล
  • สําเนาบัตรประจําตัวประชาชนของผู้เริ่มก่อการและกรรมการทุกคน
  • สําเนาหลักฐานการรับชําระค่าหุ้นที่บริษัทออกให้แก่ผู้ถือหุ้น
  • แผนที่แสดงที่ตั้งของสํานักงานใหญ่โดยสังเขป

หมายเหตุ: ผู้ขอจดทะเบียนจะต้องลงนามรับรองสำเนาถูกต้องในเอกสารทุกฉบับ ยกเว้นสำเนาบัตรประชาชนที่ต้องให้เจ้าของบัตรลงนามรับรองด้วยตัวเอง

จดทะเบียนบริษัทมีขั้นตอนอย่างไร

จดทะเบียนบริษัทออนไลน์ ทางเลือกใหม่ของธุรกิจในยุคดิจิทัล

หากใครไม่สะดวกเดินทางไปยื่นจดทะเบียน กรมพัฒนาธุรกิจการค้ามีบริการจดทะเบียนบริษัทออนไลน์ หรือเรียกว่า e-registration โดยเจ้าของกิจการสามารถเข้าไปจดทะเบียนตั้งบริษัทได้ที่เว็บไซต์ของ กรมพัฒนาธุรกิจการค้า ซึ่งให้บริการในรูปแบบ one-stop service คือ เราสามารถยื่นจดทะเบียนที่ไหนก็ได้ เพียงแค่กรอกข้อมูลเพื่อจองชื่อบริษัทไปจนถึงยื่นจดทะเบียนและชำระค่าธรรมเนียมได้ทั้งหมดทางหน้าจอคอมพิวเตอร์เท่านั้น

จดทะเบียนบริษัทแล้ว กิจการมีภาระหน้าที่ที่อะไรบ้าง

หลังจากจดทะเบียนบริษัทเรียบร้อยแล้ว บริษัทจะมีภาระหน้าที่ตามกฎหมายเกิดขึ้น ดังนี้

ภาระหน้าที่รายเดือน

  • จัดทำบัญชี โดยต้องหาผู้ทำบัญชี จัดทำบัญชีพร้อมเตรียมเอกสารประกอบการลงบัญชี ปิดงบการเงิน และจัดให้มีการตรวจสอบงบการเงินโดยผู้สอบบัญชีรับอนุญาต (ตามพระราชบัญญัติการบัญชี พ.ศ. 2543)
  • ยื่นส่งภาษีมูลค่าเพิ่ม หากบริษัทมีการจดทะเบียนภาษีมูลค่าเพิ่ม จะต้องยื่นแบบ ภ.พ.30 ทุกเดือน แม้ไม่มีรายการการค้า และให้ยื่นภายในวันที่ 15 ของเดือนถัดไป (หรือหากยื่นผ่านอินเทอร์เน็ต สามารถยื่นได้ไม่เกินวันที่ 23 ของเดือนถัดไป) 
  • ยื่นส่งภาษีหัก ณ ที่จ่าย หากบริษัทมีการจ่ายค่าบริการ จะต้องทำการหัก ณ ที่จ่าย และนำส่งสรรพากร ภายในวันที่ 7 ของเดือนถัดไป 
  • ยื่นแบบ ภ.ง.ด.1 เงินเดือน ค่าจ้าง สำหรับพนักงานประจำ 
  • ยื่นแบบ ภ.ง.ด.3 ภาษีหัก ณ ที่จ่าย สำหรับบุคคลธรรมดาที่ไม่ใช่พนักงานประจำ
  • ยื่นแบบ ภ.ง.ด.53 ภาษีหัก ณ ที่จ่าย สำหรับนิติบุคคลไทย
  • ยื่นแบบ ภ.ง.ด.54 ภาษีหัก ณ ที่จ่าย สำหรับนิติบุคคลต่างประเทศ
  • ยื่นประกันสังคม: บริษัทที่ขึ้นทะเบียนนายจ้าง และมีพนักงานประจำ จะต้องนำส่งเงินสมทบประกันสังคม ด้วยแบบ สปส.1-10 ภายในวันที่ 15 ของเดือนถัดไป

ภาระหน้าที่รายปี

  • ยื่นภาษีเงินได้นิติบุคคล กลางปี: บริษัทต้องยื่นเสียภาษีเงินได้กลางปี โดยคำนวณจากประมาณการกำไรสุทธิทั้งปี (ยกเว้นบริษัทที่เปิดกิจการปีแรก ไม่ต้องยื่นภาษีกลางปี) โดยยื่นด้วยแบบ         ภ.ง.ด.51 ภายใน 2 เดือน นับจากรอบระยะเวลาบัญชี 6 เดือน
  • ยื่นภาษีเงินได้นิติบุคคล สิ้นปี: บริษัทต้องเสียภาษีเงินได้สิ้นปี จากกำไรสุทธิในปีที่ผ่านมา โดยใช้แบบ ภ.ง.ด.50 ภายใน 150 วัน นับแต่วันสิ้นรอบระยะเวลาบัญชี
  • ยื่นส่งงบการเงิน ต่อกรมพัฒนาธุรกิจการค้า

สำหรับผู้ประกอบการท่านใดที่ต้องการจดทะเบียนบริษัทเพื่อเข้าสู่ระบบธุรกิจแบบนิติบุคคลอย่างเต็มตัวก็ควรมีการเตรียมความพร้อมในทุกๆ ด้าน ไม่ว่าจะเป็นข้อมูล เอกสารสำคัญต่างๆ การจัดเตรียม เรื่องบัญชีและภาษี นอกจากจะเป็นสิ่งที่ดำเนินการตามที่กฎหมายกำหนดแล้ว ยังเป็นการเตรียมพร้อมสำหรับการเติบโตของธุรกิจในอนาคตอีกด้วย

PEAK โปรแกรมบัญชีออนไลน์ มีบริการรับจดทะเบียนบริษัท จดทะเบียนภาษีมูลค่าเพิ่ม หรือจดทะเบียนเลิกกิจการ เพิ่มทุนด้วยทีมงานสำนักงานบัญชีพันธมิตรที่คอยให้คำปรึกษาในทุกแง่มุมในการจดทะเบียนบริษัท เพื่อสร้างความน่าเชื่อถือในการจัดตั้งกิจการ

ทดลองใช้งานโปรแกรมบัญชี PEAK ฟรี! 30 วัน มูลค่า 1,200 บาท
คลิก https://bit.ly/PEAK-Skootar (ไม่มีค่าใช้จ่าย)

PEAK Call Center : 1485
LINE : @peakaccount
สอบถามเพิ่มเติม คลิก
https://m.me/peakengine

8 ข้อควรรู้ เลือกใช้บริษัทส่งพัสดุ ส่งสินค้า เลือกแบบไหนให้ได้มืออาชีพ

ส่งพัสดุ ส่งสินค้า

ส่งพัสดุ กับบริษัทขนส่งมืออาชีพ

เมื่อต้องการส่งพัสดุให้ลูกค้า หรือระหว่างสาขาของบริษัท การเลือกใช้บริการจากบริษัทขนส่งสินค้าเพื่อส่งพัสดุด่วน ส่งสินค้า หรือส่งสินค้าด่วนที่มีคุณภาพ และตอบโจทย์ความต้องการของธุรกิจเป็นสิ่งสำคัญ ลองดู 8 ข้อควรรู้ในการเลือกใช้บริการส่งพัสดุจากผู้ให้บริการมืออาชีพกันดีกว่า

  1. พนักงานผ่านการคัดกรองและอบรม: เลือกใช้บริการส่งพัสดุด่วนจากบริษัทที่มีการตรวจสอบประวัติของพนักงานขนส่ง และจัดอบรมการทำงานอย่างมืออาชีพ เพื่อให้มั่นใจว่าพนักงานจะให้บริการด้วยความสุภาพ เป็นมิตร และมีมารยาทที่ดี

  2. ใช้งานง่ายผ่านหลากหลายช่องทาง: ควรเลือกผู้ให้บริการส่งพัสดุด่วนที่มีช่องทางการใช้งานที่สะดวก ทั้งผ่าน Website และ Application บนมือถือ รองรับทั้งระบบ iOS และ Android เพื่อความสะดวกในการสั่งงานขนส่งแบบเรียลไทม์หรือล่วงหน้าได้ตามต้องการ

  3. ราคามาตรฐานและโปร่งใส: การมีโครงสร้างราคาในการส่งสินค้าที่ชัดเจน สามารถเช็กราคาก่อนใช้บริการได้ จะช่วยให้คุณวางแผนต้นทุนการขนส่งได้อย่างมีประสิทธิภาพมากขึ้น

  4. เหมาะสำหรับการส่งสินค้าหลายจุด: หากธุรกิจของคุณมีการกระจายสินค้าจากคลังไปยังหลายสาขา ควรเลือกผู้ให้บริการที่รองรับการจัดส่งแบบหลายจุดหมายในคำสั่งเดียว พร้อมฟีเจอร์จัดเรียงเส้นทางอัตโนมัติเพื่อการขนส่งที่รวดเร็ว และคุ้มค่า

  5. มีรถขนส่งให้เลือกหลายประเภท: ผู้ให้บริการส่งสินค้าที่ดีควรมีรถขนส่งหลากหลายประเภทให้เลือกตามความเหมาะสมของสินค้า ไม่ว่าจะเป็น มอเตอร์ไซค์ รถยนต์ รถกระบะ หรือรถกระบะตู้ทึบ เพื่อให้สามารถส่งสินค้าได้ตรงตามความต้องการของลูกค้า

  6. หลากหลายช่องทางชำระเงิน: ผู้ให้บริการส่งสินค้าด่วนที่ดีควรมีระบบการชำระเงินที่หลากหลาย ทั้งเงินสด บัตรเครดิต พร้อมเพย์ รวมถึงรองรับการวางบิลสำหรับบัญชีธุรกิจ นอกจากนี้ ควรสามารถออกใบเสร็จให้ได้* เพื่ออำนวยความสะดวกแก่ผู้ใช้บริการ

  7. ฟีเจอร์เสริมเพื่อธุรกิจโดยเฉพาะ: เลือกใช้บริการส่งสินค้าด่วนจากผู้ให้บริการที่มีฟีเจอร์ต่างๆ ที่ออกแบบมาเพื่อตอบโจทย์การใช้งานในรูปแบบธุรกิจโดยเฉพาะ เช่น การรวมใบแจ้งหนี้ การกำหนดสิทธิ์ผู้ใช้งาน (Multi account user) เพื่อการบริหารจัดการที่คล่องตัวยิ่งขึ้น และมีบันทึกข้อมูลการจัดส่งที่สามารถดาวน์โหลดได้

  1. ติดตามพัสดุได้แบบเรียลไทม์: บริษัทขนส่งสินค้าที่ดีควรมีระบบติดตามพัสดุผ่าน GPS แบบเรียลไทม์ และสามารถแชร์สถานะการจัดส่งให้ผู้รับทราบได้ทันที จะช่วยเพิ่มความน่าเชื่อถือในการให้บริการของคุณ นอกจากนี้ การมีประกันความเสียหาย* ก็ช่วยสร้างความอุ่นใจให้แก่ทั้งผู้ส่งและผู้รับสินค้า

  2. บริการช่วยเหลือทุกวัน ไม่มีวันหยุด: หากเกิดปัญหาหรือข้อสงสัยใดๆ ในการใช้บริการจากบริษัทขนส่งสินค้า การมีทีม Customer service ที่พร้อมให้ความช่วยเหลือทุกวันตลอดปีโดยไม่มีวันหยุด จะทำให้คุณมั่นใจได้ว่าธุรกิจของคุณจะสามารถให้บริการได้อย่างต่อเนื่องไม่สะดุด

ปัจจัยทั้ง 9 ข้อนี้ ถือเป็นสิ่งสำคัญที่ควรพิจารณาเป็นอันดับต้นๆ ในการเลือกใช้บริการส่งพัสดุ ส่งสินค้าจากบริษัทขนส่งสินค้าเพื่อการบริการที่เป็นมืออาชีพ ตอบโจทย์ความต้องการ และสร้างความพึงพอใจสูงสุดให้แก่ลูกค้าของคุณ

ศึกษาข้อมูลเพิ่มเติม และสมัครทดลองใช้งานได้ที่นี่ มีส่วนลดลูกค้าใหม่
https://www.skootar.com/parcel-service 

*เงื่อนไขเป็นไปตามที่บริษัทฯ กำหนด
**
ภาพในบทความนี้เป็นภาพเพื่อการประกอบโฆษณาเท่านั้น

5 เหตุผลที่สกู๊ตตาร์ต้องตรวจประวัติ* และอบรมแมสเซ็นเจอร์รายเดือน รายวัน และรายครั้ง

เมื่อบริการส่งเอกสารด่วนด้วยแมสเซ็นเจอร์มีความสำคัญมากขึ้นอย่างต่อเนื่อง 

สกู๊ตตาร์จึงต้องเพิ่มความมั่นใจให้กับลูกค้าที่ใช้บริการ ไม่ว่าจะเป็นแมสเซ็นเจอร์รายเดือน แมสเซ็นเจอร์รายวัน หรือแมสเซ็นเจอร์รายครั้ง ล้วนแต่ต้องผ่านการตรวจประวัติ* และเข้าอบรม เพราะเราให้ความสำคัญกับความปลอดภัยของลูกค้า และความเป็นมืออาชีพของคนขับเป็นอย่างมาก

 

5 เหตุผลที่สกู๊ตตาร์ต้องตรวจประวัติ* และอบรมแมสเซ็นเจอร์

1. เพื่อสร้างความมั่นใจ และความปลอดภัยให้กับลูกค้า

การตรวจสอบประวัติ* ช่วยคัดกรองว่าแมสเซ็นเจอร์รายเดือน รายวัน และรายครั้งของสกู๊ตตาร์เป็นบุคคลที่ไว้ใจได้ ลูกค้าจึงวางใจได้ว่าเอกสารสำคัญ หรือพัสดุจะปลอดภัยระหว่างการรับ-ส่ง

2. อบรมก่อนเปิดระบบ เพื่อคุณภาพการบริการที่ดีกว่า

แมสเซ็นเจอร์ที่ผ่านการอบรมจะมีความเป็นมืออาชีพ ตรงต่อเวลา มีความรับผิดชอบ และรู้ขั้นตอนการดำเนินการของงานเอกสารประเภทต่างๆ ได้เป็นอย่างดี ช่วยลดความกังวลว่าจะไปติดต่อหน่วยราชการถูกจุดไหม หรืองานเอกสารทางเรือจะทำถูกต้องตามขั้นตอนหรือเปล่า แมสเซ็นเจอร์ที่ผ่านการอบรมจะให้บริการคุณได้อย่างถูกต้องอย่างมือโปร

3. เพื่อแสดงความรับผิดชอบต่อปัญหาสังคม ในฐานะผู้ให้บริการขนส่ง

สกู๊ตตาร์มีความรับผิดชอบที่จะต้องดำเนินธุรกิจอย่างมีจริยธรรม การตรวจประวัติ* แมสเซ็นเจอร์ของเราถือเป็นส่วนหนึ่งที่จะช่วยป้องกันไม่ให้ผู้ไม่หวังดีสวมรอยเป็นแมสเซ็นเจอร์เพื่อก่อเหตุร้ายได้

4. เพื่อเพิ่มความสามารถ และสร้างมาตรฐานให้กับอาชีพแมสเซ็นเจอร์

การตรวจประวัติ* และอบรมแมสเซ็นเจอร์ ถือเป็นการสร้างมาตรฐานการให้บริการให้กับผู้ที่ทำอาชีพนี้ และหากแมสเซ็นเจอร์บริการได้ดี ก็จะสามารถเพิ่มฐานลูกค้าให้กับตัวเเมสเซ็นเจอร์เอง และสกู๊ตตาร์ได้ด้วย พร้อมส่งเสริมภาพลักษณ์ที่ดี โดยจะนำมาซึ่งการเติบโตบนตลาดแมสเซ็นเจอร์ได้ในระยะยาว

5. เพื่อสร้างความไว้วางใจในแบรนด์สกู๊ตตาร์

สกู๊ตตาร์ ใส่ใจในรายละเอียด และมอบความจริงใจให้กับลูกค้า เพราะไม่ว่าจะเเมสเซ็นเจอร์รายเดือน รายครั้ง หรือรายวัน ทุกการบริการจะต้องทำให้ลูกค้าประทับใจได้เสมอ และให้เกิดการบอกต่อเรื่อยๆ

                การตรวจสอบประวัติ* และอบรมให้กับแมสเซ็นเจอร์ของเรา เป็นสิ่งที่สกู๊ตตาร์ให้ความสำคัญอย่างยิ่ง เพราะส่งผลดีกับทุกฝ่าย ทั้งในแง่ความปลอดภัยของลูกค้า และคุณภาพบริการของแมสเซ็นเจอร์ ให้ลูกค้าวางใจได้เมื่อเลือกใช้บริการของสกู๊ตตาร์ แมสเซ็นเจอร์มือโปร

*เงื่อนไขเป็นไปตามที่บริษัทกำหนด *ภาพในบทความนี้เป็นภาพเพื่อประกอบการโฆษณาเท่านั้น